รีวิวหนัง Moonfall โรแลนด์ เอมเมอร์ริช เคยเข้าชื่อเป็นหนึ่งในผู้กำกับคนโปรดของผมอยู่พักหนึ่ง ด้วย ID4 ซึ่งแม้จะในปัจจุบันมันก็ยังเป็นผลงานหนังเอเลี่ยนถล่มโลกที่ครบเครื่องที่สุด ก่อนที่ในเวลาถัดมาหนังของแกอีกหลายๆ เรื่องจะดีบ้างแย่บ้างสลับกันไป แต่ก็ไม่เคยกลับไปแตะในจุดที่ ID4 เคยทำได้แม้แต่น้อย
อย่างไรก็ตามช่วงหลังเวลาเห็นชื่อแกเข้าเครดิตในภาพยนตร์สักเรื่อง แม้ใจหนึ่งจะรู้สึกดีที่คงได้เห็นแกเอาโลกมาเจอภัยพิบัติเวอร์วังอีกแล้ว แต่อีกใจก็รับรู้แทบจะในทันทีว่าคงหวังเรื่องบทไม่ได้นัก เพราะหยำเปมาหลายเรื่องจนเกินจะวางใจ
และสำหรับMoonfall เองก็เป็นอย่างที่ผมกะเกณฑ์ไว้ตั้งแต่แรก เพราะมันมีจุดน่าติมากมายก่ายกอง แต่สุดท้ายก็กลับเกลียดไม่ลง ซ้ำยังมีความรู้สึกค่อนไปทางชอบมันซะอย่างนั้น บ้อบอเหมือนตัวหนังนั่นแหละ
ตัวหนังจะเล่าเรื่องนักบินอวกาศที่ต้องหาทางยับยั้งดวงจันทร์ซึ่งจู่ๆ ก็หลุดวงโคจรและเตรียมพุ่งเข้าชนโลก ซึ่งคนในเรื่องมีเวลารับมือไม่ถึง 3 สัปดาห์ก่อนความฉิบหายระดับล้างบางมนุษยชาติจะมาเยือน ซึ่งแน่นอนว่ากางมาแบบนี้คนดูหนังโลกถล่มแผ่นดินทลายมานับไม่ถ้วนก็ย่อมมองเห็นตอนจบอยู่แล้วว่ามันจะมาอีท่าไหน และตัวผู้กำกับเองก็คล้ายจะรู้ตัวเช่นกัน ดังนั้นแล้วก็ปรุงรสระหว่างทางจึงเป็นเรื่องสำคัญ หากรสชาติไม่เด่นหนังก็เตรียมจองศาลาได้เลย
โดยส่วนตัวแล้วผมว่ารสชาติหนังมีความจัดจ้านแบบเฉพาะตัวกว่าที่คิด ผมเดาได้เลยว่าหลายคนจะไม่ชอบรสนี้ เพราะมันอาจจะสดใหม่และแปลกประหลาดเกินกว่าจะรับได้ แต่กับสิ่งมีชีวิตที่มีความ Geek ในตัวชอบทฤษฎีวิทยาศาสตร์ฟุ้งๆ ลอยๆ มีความเป็น Fiction มากกว่า Fact แบบผมกับอีกหลายๆ คน ก็บอกได้เลยว่าโดนใจพอสมควร เพราะคงมีผู้กำกับไม่กี่คนที่เอาทุนหนาๆ มาลงกับหนังสนองความ Geek แบบหลุดโลกอย่างนี้
อันที่จริงถ้าผู้ชมเคยรู้จักทฤษฎี Dyson Sphere มาก่อนหน้าบ้างก็อาจจะอินมากขึ้น แต่ผมซึ่งไม่เคยอ่านทว่าก็ผ่านการเล่นเกมที่อิงทฤษฎีแหวกๆ มาเยอะ สามารถรับกับมันได้ง่ายมากๆ แค่อาจจะเหวอหน่อยที่เห็นหนังฮอลลิวูดเล่นกับประเด็นหลุดๆ แบบนี้ แต่นั่นแหละที่เป็นองค์ประกอบสุดสลักสำคัญที่ทำให้ผมรักมันแบบเกลียดไม่ลง แม้จะรู้ดีแก่ใจว่านี่ไม่ใช่หนังที่ถึงขั้นดีเด่อะไร
แน่นอนว่าในหนังแบบนี้พาร์ทดราม่าตัวละครเป็นอะไรที่สุ่มเสี่ยงต่อความน่ารำคาญอย่างมาก เรื่องนี้ก็เกือบจะเป็น แต่เอมเมอร์ริชสามารถดัดแปลงซีนเหล่านี้มาใช้กับหนังของตัวเองได้เป็นอย่างดี อย่างน้อยถึงไม่ได้อินอะไรนักแต่เราก็ไม่รู้สึกว่ารำคาญมัน วิธีการก็คือ ตัดบทพูดให้น้อยลง แล้วหยิบตัวละครเหล่านั้นไปเจอกับสิ่งที่อยากนำเสนอให้มากที่สุด นั่นก็คือภาพของภัยพิบัติที่เกิดขึ้นบนโลก
ผมไม่แน่ใจนักว่าเขาใช้ทีม CG กี่ทีมในการทำหนังเรื่องนี้ แต่มันเห็นได้ชัดถึงงานที่ละเอียดไม่เท่ากัน บางซีนชวนว้าว บางซีนก็ดูลอยแบบไม่เกรงใจ พูดได้ว่าตอนหนัง 2012 ฉากหายนะในภาพรวมดูเนียนตากว่านี้ ทว่าจุดที่Moonfall ทำได้แตกต่างและยอดเยี่ยมมากๆ ก็คือวิช่วลที่มีความเป็นไซไฟแฟนตาซีแฝงอยู่ อย่างในตัวอย่างที่เราจะเห็นซีนคนวิ่งหนีโดยที่ฉากหลังก็คือมีทั้งพายุหิมะ แผ่นดินไหว อุกกาบาตตกเป็นฝน เศษหินและดินกำลังลอยขึ้นฟ้าเพราะแรงดึงดูดจากดวงจันทร์ขนาดเบิ้มๆ ซึ่งกำลังลอยไถชั้นบรรยากาศโลกตามมาไม่ไกล ทั้งหมดทั้งมวลถูกอัดอยู่ในซีนเดียว มันเป็นสิ่งที่ไม่ค่อยเห็นในหนังภัยพิบัติเรื่องไหนๆ ซึ่งผมก็ดันบวกคะแนนพิศวาสในจุดนี้ไปอีก
Moonfall เป็นหนังที่องค์ประกอบดูไม่สมประกอบสักอย่าง พลอตโฮล การเดินเรื่องตะกุกตะกักตัดไปตัดมา นักแสดงเล่นแข็ง บทไม่เอาอ่าว แต่มันคือหนังของเอมเมอร์ริชที่ผมชอบที่สุดในช่วงหลัง ชอบแบบไม่มีทางเกลียดมันได้ เพราะในปัจจุบันวงการฮอลลิวูดต้องการหนังฟุ้งๆ เวียร์ดๆ หลุดๆ แบบนี้่ หนังที่พูดถึงทฤษฎีวิทยาศาสตร์แบบรวดเร็วและไหลไปเรื่อยโดยที่ไม่ต้องวกกลับมาหาช่องอุดรอยโหว่หรือคอยอธิบายซ้ำๆ ซากๆ ให้คนดูเข้าใจ มันคือความเอาแต่ใจว่า “ก็ตูจะเอาแบบนี้ เข้าใจแค่นี้ก็พอ มันจะเกิดขึ้นตามนี้นี่แหละ” Moonfallเป็นแบบที่ว่ามาและผมก็โคตรซื้อมันเลย
ติดตามตัวอย่างหนังใหม่ๆ ได้ที่ spoilmovieclub.com