Itaewon Class ธุรกิจปิดเกมแค้น ชั้นเรียนชีวิต ธุรกิจ และความสัมพันธ์ (จากคนชีวิตพังไม่เป็นท่า)
เรื่องราวของ ‘Itaewon Class ธุรกิจปิดเกมแค้น’
‘Itaewon Class ธุรกิจปิดเกมแค้น’ เป็นซีรีส์ Original Netflix เรื่องใหม่ ที่ถูกสร้างจากการ์ตูนดังฝั่งเว็บตูนเกาหลีในชื่อเดียวกัน เล่าเรื่องราวของ พัคแซรอย (รับบทโดย พัคซอจุน) เด็กหนุ่มหัวเกรียน เอ้ย! หัวขบถ ที่มีความเป็นตัวเองสูง แต่ก็กลับนอบน้อมและมีความมุ่งมั่นแตกต่างจากเด็กทั่วไป แต่แล้วความฝันที่เขาพยายามฝึกฝนตัวเองเพื่อสอบเข้าเป็นตำรวจก็ต้องจบลง เมื่อเขาไปมีเรื่องถึงขั้นต่อยหน้า จางกึนวอน (รับบทโดย อันโบฮยอน) ทายาทเจ้าของธุรกิจอาหารมากอิทธิพลอย่าง ประธานจางแดฮี (รับบทโดย ยูแจมยอง) ที่เรียนอยู่ห้องในเดียวกันซะยับ แถมแซรอยเองก็ยังปฏิเสธการคุกเข่าขอโทษ เพราะเขาเชื่อว่าเขาทำไปเพื่อช่วยเพื่อนร่วมห้องที่โดน จางกึนวอน รังแกโดยไร้การแยแสจากบรรดาครูทั้งหลายที่เห็นเหตุการณ์ ทำให้พ่อของแซรอยที่ทำงานเป็นลูกน้องในบริษัทใหญ่นั้นต้องพลอยโดนไล่ออกไปด้วย
เรื่องมันกลับเลวร้ายยิ่งขึ้นไปอีก เมื่อแซรอยที่แม้จะเรียนไม่จบแต่ก็ตั้งใจจะเปิดร้านอาหารเล็ก ๆ เพื่อสานฝันให้พ่อ แต่แล้วความฝันนั้นต้องดับลงอีกครั้งเมื่อพ่อของเขาถูกรถชนตายด้วยฝีมือของ จางกึนวอน อีกครั้ง จุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ครั้งนี้ได้นำแซรอยไปสู่เส้นทางแห่งความแค้นฝังลึก เขาจะทำอย่างไรต่อไปเมื่อการสานฝันของพ่อด้วยธุรกิจอาหารที่ยิ่งใหญ่ คือหนทางเดียวกันกับการล้างแค้นเพื่อโค่นล้มธุรกิจยักษ์ของคนตระกูลจางให้ล่มจม
ความรู้สึกหลังดู
ซีรีส์พาเราไปรู้จักกับโลกของ ‘พัคแซรอย’ ชีวิตมหัศจรรย์ของเด็กหนุ่มผู้(อยาก) โค่นยักษ์ ผู้ใช้ทั้งชีวิตแลกกับความฝันอันยิ่งใหญ่ แบบที่ไม่มีอะไรจะเสียอีกแล้ว ทั้งที่เรียนไม่จบ ติดคุก โดนซ้อม ออกจากคุกมาก็ไปทำงานประมง หรือแม้กระทั่งงานกรรมกรที่แสนสาหัสแซรอยก็ผ่านมันมาแล้วทั้งหมด ความสำเร็จที่เขาวาดฝันเอาไว้ มีตัวอย่างให้เห็นอยู่ใกล้ ๆ แค่ในหนังสือเล่มเล็กที่คนทำชีวิตของเขาพังเป็นผู้เขียนมัน
เราจึงจะได้เห็นเส้นทางการเติบโตตั้งแต่เด็กหนุ่มยันเป็นชายหนุ่ม ที่มีความพลิกผันหักมุมอยู่ตลอดเวลา ใครที่ชอบดูซีรีส์แนวดราม่าเข้มข้น มีการวางแผน การล้างแค้นเอาคืน หรือหักเหลี่ยมเฉือนคมกันอย่างมีชั้นเชิงล่ะก็… บอกเลยว่าคุณไม่ควรพลาดซีรีส์เรื่องนี้อย่างเด็ดขาด
และแม้ว่าเราในฐานะคนดูจะเคยดูถูกความโลกสวยในคาแรกเตอร์ของ ‘พัคแซรอย’ เอาไว้(เหมือนที่คู่ปรับอย่างประธานจางแดฮีก็เคยดูถูกเขาแบบนี้) แต่บอกเลยว่าทันทีที่ดู Ep.8 จบ คาแรกเตอร์ของ พัคแซรอย กลายเป็นสิ่งที่เรารักที่สุดในซีรีส์ คือต้องยกความดีความชอบให้ พัคซอจุน ที่สามารถถ่ายทอดอารมณ์และความรู้สึกนึกคิดของพัคแซรอยออกมาได้อย่างเป็นธรรมชาติและน่าเชื่อถือ ความหัวขบถเล็ก ๆ ที่มาพร้อมจิตวิญญาณอันมุ่งมั่นผสมกับความใสซื่อนั้นถูกบอกเล่าผ่านสีหน้า ท่าทาง และคำพูดได้อย่างหมดจด บทจะซื่อ ๆ งง ๆ ก็น่ารักน่าเอ็นดู บทจะดราม่าตึงเครียดก็ใส่เต็มจนรู้สึกได้ถึงความอึดอัดและเจ็บปวดจริง ๆ ของตัวละคร จนเรียกได้ว่าฝีมือทางการแสดงนั้นแทบไร้ที่ติ
ศัตรูคู่อาฆาตอย่างสองพ่อลูก จางกึนวอน (รับบทโดย อันโบฮยอน) และ ประธานจางแดฮี (รับบทโดย ยูแจมยอง) คือส่วนผสมชั้นดีที่อยากจะเกลียดก็เกลียดไม่ลงจริง ๆ เพราะสองคาแรกเตอร์นี้ถูกสร้างมาให้เป็นทั้งศัตรูและครูในเวลาเดียวกันของแซรอย เราจะได้เห็นว่าครอบครัวแบบไหนที่สร้างคน ๆ หนึ่งให้กลายมาเป็นปีศาจร้าย และมันเลวร้ายจนไม่น่าเชื่อเลยว่าเราจะสามารถเข้าใจความรู้สึกลึก ๆ ของคาแรกเตอร์สีเทาจนเกือบดำมืดอย่างจางกึนวอนได้ หรือแม้แต่เราจะให้ความรู้สึกเคารพในความน่าเกรงขาม ของคาแรกเตอร์อย่างประธานจางแดฮีได้ แม้ว่าคนพวกนี้จะเคยเหยียบย่ำตัวละครที่เรารักไว้แค่ไหนก็ตาม สิ่งเหล่านี้มันแสดงให้เห็นถึงความสำเร็จในการสร้างตัวละครของซีรีส์เรื่องนี้ได้เป็นอย่างดีทีเดียว
โดยเฉพาะกับตัวละครหลักอื่น ๆ เช่น โจอีซอ (รับบทโดย คิมดามิ) สาวน้อยไอคิว 162 ที่เข้ามาเป็นส่วนเติมเต็มสำคัญในชีวิตของแซรอย และ โอซูอา (รับบทโดย ควอนนารา) รักแรกและรักเดียวผู้ยืนอยู่คนละเส้นทางกับแซรอย นางเอกทั้งสอง(?) ของเรื่องที่แม้ว่าเราจะยังไม่รู้ว่าใครกันแน่ที่จะได้เป็นตัวจริงของพ่อหัวเกาลัค แต่ความน่ารักและเสน่ห์อันเหลือล้นที่มาพร้อมบทบาทที่ต่างกันแบบสุดขั้ว มันทำให้เราคนดูสามารถหลงรักพวกเธอทั้งคู่ได้ไม่ยาก (แต่หลัง ๆ เริ่มยากตรงไม่รู้จะเชียร์ใครดีนี่แหละ)
หรือจะเป็นเหล่าลูกจ้างในร้านของแซรอยอย่าง ชเวซึงควอน (รับบทโดย รยูคยองซู) , จางกึนซู (รับบทโดย คิมดงฮี) , มาฮยอนอี (รับบทโดย อีจูยอง) ที่แต่ละคาแรคเตอร์นั้นถูกถอดและออกแบบมาอย่างดีจากการ์ตูนต้นฉบับ ผ่านการเติมแต่งใส่มิติและความแตกต่าง เพื่อเข้ามาเติมเต็มและปรับสมดุลของตัวเนื้อเรื่องที่มีทั้งความดาร์ก ตึงเครียด และดราม่า ให้ได้ผ่อนคลายและน่าติดตามมากขึ้น จนเรียกได้ว่าทุกตัวละครของซีรีส์เรื่องนี้มีส่วนสำคัญที่ทำให้เรื่องราวมีความสนุกและเข้มข้นได้อย่างเท่าเทียมกัน ไม่มีใครโดดเด่นไปกว่าใครแถมทุกคนล้วนแล้วแต่มีผลกับเนื้อเรื่องทั้งหมดอีกด้วย
และอีกหนึ่งสิ่งที่ชอบมาก ๆ ในซีรีส์เรื่องนี้คือความพยายามสอดแทรกประเด็นสังคมใหญ่ ๆ (ที่เป็นปัญหาชัดเจนในเกาหลีใต้) เอาไว้มากมาย เช่น ประเด็นความเหลื่อมล้ำในสังคม การเหยียดสีผิวหรือเชื้อชาติที่ยังฝังรากลึก หรือแม้กระทั่งประเด็น LGBT ที่ดูเหมือนจะเปิดกว้างแต่ที่จริงช่างยากจะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น ทั้งหมดนี้ซีรีส์สามารถนำเสนอออกมาในมุมที่ Positive และโดดเด่นอย่างที่เราไม่ค่อยได้เห็นจากเรื่องไหน ๆ